วลัยพรรณ ปิยพงศ์พันธ์

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559


Which กับ That ต่างกันยังไง?


which-กับ-that


    กรณีที่ผู้คนมักสับสนกันมาก คือการใช้ which กับ that ใน Relative (adjective) Clause ที่ทำหน้าที่ขยาย หรืออธิบายรายละเอียดคำด้านหน้า เช่น
  • That book that has a yellow cover with a cat is my favorite book.
  • That book, which has a yellow cover with a cat, is my favorite book.
ดูเผินๆสองประโยคนี้จะมีความหมายในเชิงเดียวกันที่ว่า หนังสือเล่มนั้นที่มีหน้าปกสีเหลือกับรูปแมวนั่นคือหนังสือที่ฉันชอบ แต่จริงๆมีความต่างกันอยู่
ประโยคแรก That book that has a yellow cover with a cat  is my favorite book. คำว่า that จะเป็นการเจาะจงให้เห็นชัดเจนว่า เฮ้ย ความจริงฉันมีหนังสือหลายเล่มนะ แต่ไอ้เล่นนั้นที่มีหน้าปกสีเหลืองกับรูปแมวนั่นเป็นเล่มเดียวที่ฉันชอบ เราไม่สามารถตัด relative clause นี้ทิ้งออกไปได้เพราะจะทำให้ประโยคเพี้ยนทันที
ในขณะที่ประโยคที่สอง That book, which has a yellow cover with a cat, is my favorite book. คำว่า which อาจจะหมายถึงเป็นกลายๆว่า จริงแล้วเราอ่านหนังสืออยู่เล่มเดียวนี่แหละ แล้วอีเล่มนี้ก็เลยกลายเป็นเล่มที่เราชอบ ต่อให้เราไม่บอกเค้าว่าหนังสือเล่มนี้หน้าตาเป็นอย่างไร คนฟังหรืออ่านก็รู้อยู่ดีว่าเล่มไหน relative clause ในส่วนนี้เลยไม่จำเป็นสามารถตัดออกได้เลย
 
มาดูกันอีกสองตัวอย่างกันเพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้นอีกค่ะ
  • The curtains that were washed yesterday are so clean and have a very good smell.
  • The curtains, which were washed yesterday, are so clean and have a very good smell.
ถ้าในประโยคแรก The curtains that were washed yesterday are so clean and have a very good smell. ถ้าอ่านหรือฟังจะรู้เลยว่าผู้พูดหมายถึงม่าน “บางผืน” เท่านั้นที่ถูกนำไปซักเมื่อวานเลยสะอาดและมีกลิ่นหอม เป็นการจำเพาะเจาะจงรายละเอียดลงไปว่าไม่ใช่ทุกผืนนะ เฉพาะบางผืนเท่านั้น เป็นข้อมูลสำคัญที่ตัดออกไม่ได้ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าผืนไหน
ในขณะที่ประโยคที่สอง The curtains, which were washed yesterday, are so clean and have a very good smell. ถ้าคนอ่านหรือฟังจะเข้าใจว่าผู้เขียนหรือผู้พูดต้องการบอกว่าผ้าม่าน “ทุกผืน” ถูกนำไปซักเลยสะอาดไม่มีกลิ่นหอม เพราะต่อให้ตัด relative clause ส่วนนี้ไปก็ไม่เป็นปัญหาเพราะอย่างไรผ้าม่านทุกผืนก็โดนนำไปซักอยู่แล้ว  และทุกผืนก็หอมสะอาดเหมือนกันหมด ไม่ต้องจำเพาะเจาะจงให้เสียเวลา
นี่แหละค่ะ คือความแตกต่างกันระหว่างคำว่า which กับ that จำหลักการไว้ว่า ถ้าอยากเน้นความสำคัญของสิ่งนั้นให้ขึ้นต้น relative clause ด้วย that แต่ถ้าแค่อยากบอกให้คนอ่านหรือฟังรับทราบเฉยๆ ก็ใช้ which
ป.ล. ที่สำคัญกรณีนี้อย่าลืม comma (,) หน้า which และหลังจากจบ relative clause ด้วยนะคะ


ระบบต่างๆในร่างกาย


image

     ร่างกายมนุษย์นับว่ามีความมหัศจรรย์เนื่องจากมีโครงสร้างที่ซับซ้อน เริ่มตั้งแต่ระดับอะตอมยึดกันเป็นโมเลกุล โมเลกุลจัดเรียงตัวเป็นเซลล์ รูปร่างของเซลล์แตกต่างกันตามลักษณะหน้าที่ในการทำงาน เมื่อเซลล์ชนิดเดียวกันรวมกลุ่มกันและทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งกลายเป็นเนื้อเยื่อ จากนั้นเนื้อเยื่อก็จะประกอบเข้าเป็นอวัยวะต่างๆ มีหน้าที่ในการทำงานที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามการที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นั้น จำเป็นที่จะต้องอาศัยพลังงานเพื่อให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย การหายใจ การย่อยอาหาร หรือการเต้นของหัวใจ
เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วร่างกายจะมีกระบวนการดูดซึมอาหารเข้าเซลล์เพื่อนำไปเผาผลาญให้เกิดเป็นพลังงานและนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เปรียบเสมือนการทำงานของรถยนต์หรือเครื่องจักร ที่ต้องใช้น้ำมันเพื่อไปเผาผลาญให้เกิดพลังงานในการขับเคลื่อนเพื่อให้เครื่องจักรทำงาน
ต่างกันตรงที่เครื่องจักรยังสามารถหยุดทำงานได้ แต่ร่างกายมนุษย์นั้นทำงานตลอดเวลาเซลล์ทุกเซลล์มีการเคลื่อนไหว หากส่วนใดผิดปกติย่อมทำให้เกิดปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมา เช่น การหายใจ หากหลอดลมมีการอักเสบ หดเกร็งตัว ย่อมทำให้เราหายใจลำบากรับออกซิเจนเข้าปอดไม่เพียงพอจนเป็นสาเหตุให้ขาดอากาศในการหายใจได้

อวัยวะทุกส่วนของร่างกายมนุษย์จึงมีความสำคัญ หากจะแบ่งระบบต่างๆในร่างกาย

ตามโครงสร้างและหน้าที่ สามารถจำแนกออกเป็น 10 ระบบ ดังนี้
1.ระบบผิวหนังหรือระบบห่อหุ้มร่างกาย(Integumentary system)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุด แบ่งออกเป็นชั้นหนักกำพร้า (Epidermis) และ (Dermis) ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย เป็นด่านแรกที่ป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ขับของเสียผ่านทางต่อมเหงื่อ รวมทั้งขับไขมันออกมาหล่อเลี้ยงเส้นผมและไขมันไม่ให้เกินไป ที่สำคัญยังคอยช่วยรักษาอุณภูมิของร่างกายให้คงที่อีกด้วย
2.ระบบกระดูก (Skeletal system)
ร่างกายของเราประกอบไปด้วยกระดูกและกระดูกอ่อน มีความแข็งแรง เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ เอ็น และเยื่ออ่อนอื่นๆ ทำให้ร่างหายเคลื่อนไหวได้ กระดูกมีการเรียงต่อกันเป็นโพรงช่วยป้องกันอวัยวะที่สำคัญ เช่น สมอง ไขสันหลัง หัวใจ และปอดทำให้ร่างกายคงรูปอยู่ได้ และรองรับอวัยวะต่างๆ ให้ตั้งอยู่ในตำเหน่งที่เหมาะสม เป็นที่เก็บแร่ธาตุแคลเซียมในร่างกาย  อีกทั้งภายในกระดูกยังมีไขกระดูก (Bone marrow) ทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือด (Blood cell) ด้วยเช่นกัน
3.ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular system)
กล้ามเนื้อทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ปกติแล้วจะมีการทำงานโดยการหดและคลายตัว มีคุณสมบัติในการตอบสนองหรือมีความไวต่อตัวกระตุ้นต่างๆ ได้ไม่เท่ากัน สามารถเป็นตัวนำไฟฟ้าได้
4.ระบบย่อยอาหาร (Digestive system)
การย่อยอาหารมีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นเหล่งอาหารที่นำไปเผาผลาญเพื่อก่อให้เกิดพลังงานกับร่างกาย โดยเปลี่ยนอาหารจากโมเลกุลใหญ่ ละลายน้ำไม่ได้ ให้เป็นอาหารที่โมเลกุลเล็กลงจนสามารถละลายน้ำ  แล้วดูดซึมเข้ากระแสเลือดเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
5.ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Urinary system)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การกำจัดของเสียทางไต โดยไตจะกรองของเสียออกจากเลือดขับออกมาเป็นน้ำปัสสาวะไหลไปตามท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อรอการขับออกมานอกร่างกายทางท่อปัสสาวะนั่นเอง
6.ระบบหายใจ (Respiratory system)
ระบบนี้มีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าชให้กับสิ่งมีชีวิต ประกอบไปด้วย จมูก หลอดลม ปอด และกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกแลกเปลี่ยนที่ปอดด้วยกระบวนการแพร่ ร่างกายต้องการออกซิเจนเพื่อการย่อยสลายสารอาหาร การเจริญเติบโต และกระบวนการเมตาบอลิซึม ซึมเป็นกระบวนการสร้างและสลายพลังงาน ถ้าร่างกายขาดออกซิเจน เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้และตายในที่สุด ผลที่ได้จากกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์คือ คาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกขับออกจากร่างกายโดยการหายใจออก
7.ระบบไหลเวียนโลหิต (Vascular system)
ทำหน้าที่เป็นระบบขนส่งภายในร่างกาย โดยการส่งสารอาหาร น้ำ ออกซิเจน เกลือแร่ ฮอร์โมน และสิ่งมีประโยชน์อื่นๆ ไปให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย แล้วนำของเสียออกจากเซลล์ไปยังส่วนที่มีหน้าที่ขับออกจากร่างกาย ระบบนี้ประกอบไปด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด เส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ เส้นเลือดฝอย โดยมีหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
8.ระบบประสาท (Nervous system)
ระบบประสาทเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ทำหน้าที่ออกคำสั่งการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ เอาข้อมูลที่ได้รับมาจากประสาทสัมผัสต่างๆ เพื่อมาประมวลผล และสร้างคำสั่งให้อวัยวะต่างๆ ทำงานประกอบไปด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท
9.ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)
เป็นอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ที่ทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์ เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ การสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นแบบปฏิสนธิภายในโดยการร่วมเพศ
10.ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system)
ต่อมไร้ท่อจะสร้างและหลั่งฮอร์โมน (Hormones) ส่งออกนอกเซลล์ผ่านกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองเพื่อไปยังอวัยวะเป้าหมาย เช่น ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
จะเห็นได้ว่าระบบต่างๆนร่างกายมีความซับซ้อน แม้จะแบ่งแยกหน้าที่ตามการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ แต่ทุกส่วนก็ทำงานเชื่อมโยงกัน การที่เราจะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้นั้นก็ต้องอาศัยร่างกายที่มีความสมบรูณ์ของระบบต่างๆ ให้มากที่สุด



วิธีคลายร้อนให้นอนหลับสบาย เอาตัวรอดได้แม้ปรอทแทบแตก


วิธีคลายร้อน

   วิธีคลายร้อนตอนนอน สารพัดวิธีคลายร้อนทั้งแบบไฮโซและวิธีคลายร้อนแบบบ้าน ๆ เพื่อช่วยคุณหาวิธีเอาตัวรอดจากอากาศร้อนปรอทแทบแตกได้ชิล ๆ 

          นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าสภาวะโลกร้อน อากาศในแต่ละวันมันถึงได้ร้อนทะลุปรอทจนเกือบจะทนไม่ไหว ก็เล่นแดดแรงตั้งแต่เช้าลากยาวอุณหภูมิเดือดปุด ๆ มาถึงกลางคืน โอย ! อกอีแป้นจะแตก ตับก็เกือบระเบิด อย่างนี้ต้องคลายร้อนด้วยวิธีคลายร้อนที่ใช้ได้ผลตลอดกาลตามนี้­­ 


วิธีคลายร้อน

เปิดแอร์คลาสสิกสุด 

          บ้านไหนมีแอร์อย่าไปกลัวเปลืองไฟ ร้อนแบบนี้เปิดใช้งานแอร์ที่อุตส่าห์ซื้อมาติดไว้ซะเลย แต่ถ้าจะให้ดีอย่าเปิดต่ำกว่า 25 องศานะคะ ไม่อย่างนั้นมิเตอร์ไฟฟ้าของคุณจะหมุนเร็วกว่าที่ควรจะเป็น บิลค่าไฟตอนสิ้นเดือนอาจทำให้สะดุ้งกันได้ 

เช็กแอร์หน่อยก็ดี 

          จริง ๆ แล้วก่อนเข้าสู่หน้าร้อนสุดหรรษา เราควรตรวจเช็กสภาพเครื่องปรับอากาศเตรียมไว้ให้พร้อม ไม่ว่าจะล้างแอร์ เติมน้ำยาแอร์ หรือตรวจเช็กระบบอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคลายร้อนและเพิ่มความเย็นฉ่ำชื่นใจในสภาวะอาก­­าศที่ร้อนแทบบ้าตายกันไปข้างหนึ่ง 

ระบายอากาศก่อน 
          หากบ้านคุณตั้งอยู่ในเขตที่ปลอดภัยต่อโจรขโมย หรือมีคนอยู่ติดบ้านตลอดเวลาก็ควรเปิดประตูหน้าต่างไว้บ้างเพื่­­อให้อากาศได้ระบาย ทว่าหากต้องทิ้งบ้านไว้เพื่อมาทำงาน เอาเป็นว่ากลับไปถึงบ้านปุ๊บก็รีบเปิดประตูหน้าต่างทันทีเลยก็ไ­­ด้ อ้อ ! หรือถ้ามีพัดลมระบายอากาศจะเปิดช่วยอีกแรงก็เริดเลย 

วิธีคลายร้อน

 รูดม่านบังแดดแรง 

          สำหรับส่วนไหนของบ้านที่ปะทะกับแสงแดดยามบ่ายโดยตรง อาจต้องหาม่านสีทึบมาช่วยลดทอนความร้อนจากไอแดดเข้าสู่ตัวบ้านด­­่วน ๆ ยิ่งหากห้องที่ถูกแดดเผาเป็นห้องนอนแล้วด้วยละก็ งานนี้ไม่ติดม่านกันแดดไว้ก็เตรียมตัวนอนแบบสุก ๆ ได้เลย 

ติดผ้าใบกันความร้อน 

          อีกวิธีคลายร้อนที่ช่วยได้ในระดับหนึ่งคงไม่พ้นการติดผ้าใบกันค­­วามร้อน ซึ่งจะช่วยบังแสงแดดและลดทอนอุณหภูมิร้อนแรงจากแสงแดดเข้าสู่ตัว­บ้านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเหมือนเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ฤดูฝนที่จะต­­ามมาอีกในไม่กี่เดือนหลังจากนี้ด้วยนะคะ 

วิธีคลายร้อน

 ใส่ใจเครื่องนอน 

          เริ่มตั้งแต่ที่นอน ผ้าปูที่นอน และผ้าห่ม ควรทำมาจากวัสดุที่โปร่งพ่วงด้วยคุณสมบัติระบายอากาศ พร้อมกับผิวสัมผัสที่เบาสบายอย่างผ้าซาติน คอตตอน หรือลินิน นอกจากนี้สีสันของเครื่องนอนก็ควรเป็นสีอ่อน ๆ อย่างน้อยก็ช่วยสะกดจิตใจของเราให้สงบเยือกเย็นขึ้นได้นิดหน่อย­­ 

 อย่าอาบน้ำอุ่น 

          แม้จะเป็นคนที่ติดน้ำอุ่น แต่การอาบน้ำอุ่นในหน้าร้อนแบบนี้ไมใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพเลย­­สักนิด ฉะนั้นหากคุณอยากหาวิธีคลายร้อนก็ต้องเริ่มจากฝึกอาบน้ำเย็นให้­­ได้ก่อน 

 แป้งเย็นซาบซ่า 

          แป้งเย็นเป็นตัวช่วยคลายร้อนที่มีมานานแถมใช้ได้ผลดีอีกต่างหาก­­ ดังนั้นหลังจากอาบน้ำคลายร้อนแล้ว ก็อย่าลืมชโลมแป้งเย็นให้ทั่วทั้งตัวด้วยนะ 

วิธีคลายร้อน

 ยืมวิธีคลายร้อนของชาวอียิปต์ 

          ชาวอียิปต์ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ เขาจึงมีวิธีคลายร้อนที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือ แช่ผ้าขนหนูไว้ในน้ำเย็นจัด แล้วใช้ผ้าขนหนูเหล่านั้นมาห่อหุ้มตัวตอนนอน แต่หากคุณไม่ได้ร้อนจัดถึงขั้นนั้น จะนำผ้าขนหนูแช่น้ำเย็นมาเช็ดถูตัวก่อนนอน เสร็จแล้วประแป้งเย็นหอม ๆ อีกหน่อยก็น่าจะช่วยคลายร้อนได้เยอะ 

 สวมใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย 

          ชุดที่ใส่นอนของคุณควรเป็นชุดที่ทำจากผ้าคอตตอน ผ้าฝ้าย หรือผ้าซาติน ซึ่งเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ง่าย น้ำหนักเบา ใส่นอนสบายคลายร้อนได้อีกทางหนึ่ง 

วิธีคลายร้อน

 วางพัดลมใกล้หน้าต่าง 

          วิธีคลายร้อนอีกทางหนึ่งที่อาจทำให้คุณแปลกใจนั่นก็คือ วางพัดลมใกล้หน้าต่างหรือช่องระบายอากาศ โดยหันด้านมอเตอร์พัดลมไปทางหน้าต่าง ซึ่งจะช่วยให้ลมร้อนที่พัดลมสร้างขึ้นมาถูกระบายออกไปด้านนอก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มอากาศสบาย ๆ จากด้านนอกให้หมุนเวียนเข้ามาด้านในมากยิ่งขึ้น 

 แอร์ทำมือช่วยได้ 

          หากไม่ได้ติดแอร์ก็ลองใช้วิธีคลายร้อนแบบบ้าน ๆ โดยนำน้ำแข็งก้อนใส่ภาชนะมาวางไว้หน้าพัดลม ให้ลมจากพัดลมพัดเอาไอเย็นจากน้ำแข็งมาปะทะตัวคุณ แค่นี้ก็เหมือนมีแอร์ไอน้ำสุดเก๋ไว้คลายร้อนแล้วล่ะ 

 DIY เครื่องทำความเย็นจากผ้าขนหนู 
          ผ้าขนหนูที่ชุบน้ำเย็นชุ่ม ๆ พาดตากระหว่างเก้าอี้ 2 ตัวหรือราวตากผ้าก็ได้ จากนั้นเปิดพัดลมเบอร์แรงที่สุดเป่าทะลวงผ้าขนหนูมาเลย แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงอากาศเย็น ๆ แถมไอน้ำที่ชุ่มฉ่ำ หรือไม่ก็แขวนผ้าขนหนูชุ่มน้ำเย็นไว้ที่หน้าต่างห้องนอน เมื่อลมด้านนอกพัดมา ความเย็นก็เข้าสู่ตัวบ้านได้ด้วยเช่นกัน 


บทความพัฒนาตนเอง เรียนภาษาให้เก่ง

     มนุษย์เราคิดค้นภาษาขึ้นมาก็เพื่อใช้ในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน มนุษย์จะไม่เข้าใจกันหากขาดการสื่อสารด้วยภาษา ไม่ว่าทางวาจา หรือภาษากาย ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องเรียนรู้ เราเกิดจากท้องแม่มา เราก็เริ่มเรียนรู้ภาษาทางกายเพื่อสื่อสารกับผู้เป็นแม่ เพื่อให้แม่รับรู้ความต้องการและความรู้สึกของเรา เมื่อโตขึ้นเราก็ได้เรียนรู้ภาษาพูด เพื่อฝึกสื่อสารให้คนอื่นได้เข้าใจความหมายในสิ่งที่เราต้องการสื่อหรือแม้แต่สื่อสารกับตนเอง จะเห็นได้ว่าภาษานั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์เราทุกคน ความฉลาดทางด้านภาษาถือได้ว่าเป็นทักษะที่มีประโยชน์ต่อทุกคนสาขาอาชีพ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เราใช้ภาษา ซึ่งประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ในการสื่อสารกับตนเองและผู้อื่น ทักษะด้านภาษาจึงควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะของผู้ที่มี ความสามารถด้านการ เรียนภาษาให้เก่ง

ผู้ที่มีความฉลาดด้านภาษา เป็นผู้ที่มีความสามารถทางด้านการอ่าน การเขียน รวมถึงการสื่อสารด้วนการฟังและการพูด มักจะมีความสุขในการใช้ภาษา สามารถพูดได้หลายภาษา ใช้ภาษาอย่างสละสลวย พูดได้น่าฟัง สามารถทำให้คนอื่นคล้อยตามได้ ผู้ฉลาดทางด้านภาษาบางคนชอบการเขียน สามารถเขียนเล่าเรื่องราวเป็นตัวอักษรได้อย่างน่าติดตาม แต่งกลอนได้ดี และชอบอ่านหนังสือ กลุ่มคนที่มีความฉลาดทางด้านภาษา ได้แก่ นักเขียน นักกวี หนังสือพิมพ์ นักการทูต นักการเมือง นักพูด เช่น อับบราฮัม ลินคอน เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ เป็นต้น
คุณล่ะมีความสามารถทางด้านภาษาบ้างหรือป่าว?
  • คุณทำคะแนนได้ดีในวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม ประวัติศาสตร์ มากกว่าวิชาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์
  • คุณชอบขีดๆ เขียนๆ เขียนไดอารี เขียนบันทึก เขียนนิยาย เขียนบล็อกในเว็บไซต์
  • มีคนเคยบอกว่าคุณเป็นคนตลก หรือพูดเก่ง เจ้าสำบัดสำนวน
  • คุณสามารถอธิบายความหมายของคำ อธิบายสิ่งต่างๆ ให้เห็นภาพได้ชัดเจน
  • คุณชอบเล่นเกมต่อคำ เกมอักษรไขว้ หรือสแคร็บเบิล
  • คุณชอบอ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ฟังเพลง มากกว่าการดูทีวี
  • คุณชอบพูดคุยถึงเรื่องหนังสือที่คุณอ่านในระหว่างที่คุณสนทนากับคนอื่น
  • คุณสนุกกับการเล่นคำ การผวนคำ การเล่าเรื่อง
  • คุณชอบอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณาตามท้องถนน หรือแม้แต่ฉลากข้างกล่อง
  • คุณสามารถเขียนเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรหรือเล่าปากเปล่าได้อย่างสบายมาก
  • คุณสามารถเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ชวนติดตาม
  • คุณสามารถแต่งนิยายเขียนหนังสือได้
  • คุณชอบแสดงความคิดเห็นและสามารถโต้แย้งในเรื่องต่างๆ
  • คุณชอบที่จะเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ และไม่กลัวที่จะสื่อสารกับคนต่างชาติ
ที่มา: http://bloxabout.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/#more-1106

ทักษะคณิตศาสตร์...สร้างได้



       เมื่อพูดถึงคณิตศาสตร์ ผู้ใหญ่บางคนได้ฟัง ยังหนาวๆ ร้อนๆ แล้วสำหรับเด็กเล็กๆ การเรียนรู้เรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเขาหรือไม่?
        คำตอบของคำถามข้างต้นนั้นคือ "ไม่ยากหรอกค่ะ" ถ้าเรารู้จักเนื้อหาและวิธีในการส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็ก ซึ่งเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากสิ่งรอบตัวเด็กนี่เอง...


ทักษะทางคณิตศาสตร์ คือ ?
 ก่อนที่จะค้นหาวิธีส่งเสริมต่างๆ ให้กับเด็ก เราควรจะรู้ว่าทักษะทางคณิตศาสตร์นั้นหมายถึงเรื่องอะไรบ้าง เพราะมีหลายคนที่เข้าใจว่าคณิตศาสตร์ คือ เรื่องของจำนวนและตัวเลขเท่านั้น แต่ความจริงแล้วคณิตศาสตร์มีเนื้อหาที่กว้างกว่านั้นมาก เพราะยังหมายรวมถึงรูปทรง การจับคู่ การชั่งตวงวัด การเปรียบเทียบการจัดลำดับ การจัดประเภท เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็คือคณิตศาสตร์เช่นเดียวกันเริ่มได้เมื่อไหร่
   เมื่อเรารู้ถึงเนื้อหาในเรื่องต่างๆ ของคณิตศาสตร์แล้วเราจะพบว่าการส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เด็กลืมตาดูโลก เมื่อลูกมองเห็นสีสันของโมบายที่คุณแม่แขวนเอาไว้ให้เหนือเปล เขาก็จะมองเห็นความแตกต่างของสีสัน บ้านที่จัดสิ่งแวดล้อมแบบนี้ให้ลูก ก็ถือว่าได้ส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ให้กับเขาแล้วเพราะหนูน้อยต้องได้สะสมประสบการณ์เหล่านี้ขึ้นมา เพื่อเป็นพี้นฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ผู้ใหญ่จัดหมวดหมู่ไว้ ในอนาคตถ้าเราไม่ตีกรอบว่าคณิตศาสตร์ คือ จำนวนและตัวเลขเท่านั้น เราก็สามารถส่งเสริมลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดผ่านการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ความเข้าใจที่แตกต่าง

   การเรียนรู้ทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กแต่ละวัยย่อมแตกต่างกันไป เราสามารถส่งเสริมเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ได้ทุกด้านแต่ต่างกันตรงวิธีการค่ะสำหรับเด็กวัย 3- 4 ขวบ จำเป็นต้องเรียนคณิตศาสตร์ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากเพราะเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ให้เด็กสามขวบ ดูตัวเลข 2 กับ 3 แล้วเอาเครื่องหมายมากกว่าน้อยกว่าไปให้เขาใส่ เขาก็จะงงแน่นอน ว่าเจ้าสามเหลี่ยมปากกว้างนี้คืออะไร เด็กวัยนี้การเรียนเรื่องจำนวนตัวเลข ต้องผ่านสิ่งของที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่ถ้าเป็นพี่ 5 หรือ 6 ขวบ จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือสัญลักษณ์ต่างๆได้แล้วเรียนรู้ได้จากสิ่งใกล้ตัว

   หลักของการส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ให้เด็ก คือ เรียนรู้จากรูปธรรมไปนามธรรม เรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวไปสู่สิ่งที่ไกลตัวคนไทยโบราณจะมีเพลงร้องเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเรียนเรื่องง่ายๆ ก็คือ การเรียนรู้จากอวัยวะของตัวเองนั่นเอง เช่น ตาสองตา จมูกหนึ่งจมูก หูสองหู เมื่อเด็กเกิดมานิ้วมือก็รองรับเลขฐานสิบให้เขาได้เรียนรู้ ฯลฯ

   สิ่งเหล่านี้เป็นการเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่องจำนวนและตัวเลขโดยไม่รู้ตัว หรือบ้านไหนที่คุณแม่จัดระเบียบ มีการแยกประเภทเสื้อผ้า เช่น ลิ้นชักชั้นล่างใส่กางเกง ชั้นสองใส่เสื้อกล้าม ชั้นสามใส่ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ลูกบ้านนี้ก็จะได้เรียนคณิตศาสตร์เรื่องการจัดกลุ่ม การแยกประเภทไปด้วยเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายค่ะที่พ่อแม่บางคนพยายามค้นหาอุปกรณ์ หรือกลวิธียากๆ ในการสอนเด็กแต่กลับละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเหล่านี้ไป

   เด็กวัยนี้เรียนรู้จากการเล่นและการกระทำ เราจึงควรส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ให้อยู่ในชีวิตประจำวันของเขา เช่นเวลาคุณแม่จัดโต๊ะอาหารก็เรียกเจ้าตัวน้อยมาช่วยจัดด้วย ว่านี่คือจานคุณพ่อ จานคุณแม่ จานพี่ เขาก็จะได้เรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องการจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง เป็นต้น กิจวัตรประจำวันของเด็กมีคณิตศาสตร์ซ่อนอยู่มากมายค่ะ แม้แต่งานบ้านง่ายๆ ก็เป็นของวิเศษที่สามารถส่งเสริมคณิตศาสตร์ให้ลูกได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ลูกเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อมหรือกิจกรรมแล้วเปิดโอกาสให้เขามาช่วยกันคิด ขอเพียงแค่เข้าใจ
   เมื่อเด็กเข้าเรียนอนุบาลจะเริ่มมีแบบฝึกหัดที่เป็นระบบสัญลักษณ์เข้ามา สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูก คือ 

ลูกเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับระบบสัญลักษณ์เหล่านั้นหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องบังคับว่าลูกต้องเข้าใจตอนนี้นะคะ เพราะบางครั้งลูกของเราอาจจะยังคงต้องการเรียนรู้จากสิ่งที่จับต้องได้ เราก็ควรช่วยเหลือและส่งเสริม
   ยกตัวอย่างนะคะ เมื่อมีการบ้านที่ต้องเติมเครื่องหมายมากกว่าหรือน้อยกว่า แล้วมีตัวเลข 5 กับ 6 เราอาจช่วยเตรียมสื่อให้ลูกนับประกอบการทำการบ้านประเภทเม็ดกระดุม ก้อนหิน ฯลฯ ให้เขาเห็นเป็นรูปธรรมว่ามันมากกว่าจริงๆ เพราะฉะนั้นสัญลักษณ์ที่เหมือนปากกว้างๆ นี้จะต้องหันหน้าไปกองกระดุมหรือกองก้อนหินที่มากกว่า เป็นต้น
  
   ความพร้อมของเด็กย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลคุณพ่อคุณแม่เองต้องเป็นคนคอยสังเกตว่าลูกเราอยู่ในระดับใด พร้อมมากแค่ไหน ไม่มีประโยชน์ที่จะเร่งลูกในยามที่เขายังไม่เข้าใจระบบสัญลักษณ์นะคะ การที่เราไปเร่งเด็กอาจทำให้เขามีความฝังใจว่าคณิตศาสตร์นั้นมันยากแสนยากและไม่อยากจะเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์อีก 
 


ที่มา : ข้อมูลจาก : นิตยสารรักลูก ฉบับที่ 284 เดือนกันยายน พ.ศ.2549

ประวัตินางสงกรานต์



นางสงกรานต์


        หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนางสงกรานต์ทั้ง 7 มาบ้าง แล้ว ส่วนใครที่ยังไม่ทราบหรือว่าจำไม่ได้ วันนี้เราก็มีเรื่องราวของนางสงกรานต์ทั้ง 7 มาเล่าให้ฟัง
        นางสงกรานต์นั้นเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม หรือท้าวมหาสงกรานต์ และเป็นนางฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช (สวรรค์ชั้นที่ 1 ในทั้งหมด 6 ชั้น) ซึ่งมีหน้าที่ในการรับศีรษะของท้าวกบิลพรหมแห่รอบเขาพระสุเมรุในแต่ละรอบปี หรือในวันสงกรานต์นั้นเอง โดยมีเกณฑ์กำหนดที่ว่าวันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายน ตรงกับวันใดก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ นางสงกรานต์มีทั้งหมด 7 องค์ ได้แก่
1. นางสงกรานต์ทุงษเทวี
ทุงษเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ ทัดดอกทับทิม มีปัทมราค (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์ครุฑ
2. นางสงกรานต์โคราดเทวี
โคราดเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ ทัดดอกปีป มีมุกดาหาร (ไข่มุก) เป็นเครื่องประดับภักษาหาร คือ เตละ (น้ำมัน) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จประทับเหนือพยัคฆ์ (เสือ)
3. นางสงกรานต์รากษสเทวี
รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ โลหิต (เลือด) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายถือธนู เสด็จประทับเหนือวราหะ (หมู)
4. นางสงกรานต์มณฑาเทวี
มัณฑาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพุธ ทัดดอกจำปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ นมและเนย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์คัสพะ (ลา)
5. นางสงกรานต์กิริณีเทวี
กิริณีเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี ทัดดอกมณฑา(ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ ถั่วและงา อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จไสยาสน์เหนือปฏษฎางค์ชสาร (ช้าง)
6. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี
กิมิทาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันศุกร์ ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ กล้วยและน้ำ อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย)
7. นางสงกรานต์มโหทรเทวี
มโหทรเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ เนื้อทราย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จประทับเหนือมยุราปักษา (นกยูง)



การอ่านค่าทศนิยมต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง




        ทศนิยม (Decimals) คือ การเขียนตัวเลขแสดงจำนวนที่มีค่าน้อยกว่า 1 หรือการเขียนตัวเลขประเภทเศษส่วนที่มีตัวส่วนเป็น 10,100,1000 แต่เปลี่ยนรูปจากเศษส่วนมาเป็นรูปทศนิยม โดยใช้เครื่องหมาย . (จุด) แทน ซึ่งการเขียนจุดทศนิยมนั้นจะว่าไปแล้วก็มีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวนเงิน การบอกเวลา การวัดหน่วยความยาวต่างๆ เพื่อนๆ ทราบกันยังหรือยังคะว่าการอ่านค่าทศนิยมเป็นภาษาอังกฤษต้องอ่านอย่างไร
การอ่านทศนิยมเป็นภาษาอังกฤษ แบบถูกต้อง
       การอ่านเลขทศนิยม ตัวเลขที่อยู่ด้านหน้าจุดให้อ่านแบบจำนวนนับ (cardinal numbers) ส่วนจุดอ่านให้ว่า point ออกเสียงว่า พอยน์ท แต่ถ้าเป็นตัวเลขหลังจุด ให้อ่านเรียงทีละตัว ถ้าเจอเลขศูนย์ให้อ่านว่า oh (โอ) หรือ Zero (เซีย'โร) ก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น
0.78 อ่านว่า zero point seven eight (เซีย'โร พอยน์ท เซฟว'เวิน เอท)
10.25 อ่านว่า ten point two five (เท็น พอยน์ท ทู ไฟว์)
85.39 อ่านว่า eight-five point three nine (เอท'ที-ไฟว พอยน์ท ธรี ไนน)
105.3004 อ่านว่า one hundread and five point three oh oh four ( วัน ฮัน'เดรด แอนด ไฟว พอยน์ท ธรี โอ โอ ฟอร์)
     หวังว่าเพื่อนๆทุกคนคงได้วิธีการอ่านทศนิยมในภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องแล้วนะ พยายามที่ฝึกพูดบ่อยๆก็จะทำให้เราจำได้เองครับ เช่น เวลาเราเห็นเลขทศนิยม เราก็ลองอ่านเป็นภาษาอังกฤษเล่นๆดู มันจะซึมเข้าหัวโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ


ที่มา: campus-star , res.cloudinary.com/

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559


นาโนเทคโนโลยี

17-57-25-467_640      
                  นาโนเทคโนโลยี  เป็นการประยุกต์ทางวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันมีการพูดถึงกันมาก  และถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกในอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างมาก  หากเราจะเห็นสิ่งต่างๆอยู่รอบตัวเรานั้นเกิดจากสิ่งที่เล็กรวมตัวกันทำให้เกิดสิ่งใหม่หรือมีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า “อะตอม” โดยอะตอมจะมีการเรียงตัวกันในรูปแบบต่างๆ  ทำให้เกิดสิ่งของขึ้นมาเป็นเป็นรูปร่างและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น  หนังสือ  โต๊ะ  ปากกา  ดินสอ  น้ำ  หรือสิ่งอื่นที่เป็นสสาร  การที่เราพบว่าสสารเหล่านั้นเกิดจากการเรียงตัวของอะตอมทำให้เราคิดค้น  นำอะตอมมาประกอบเป็นสสารที่มีคุณสมบัติใหม่   โดยอะตอมมีขนาดที่เล็กมากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการนำอะตอมมาเรียงตัวกันใหม่
                   ถึงแม้ว่าในอดีตเราจะรู้จักอะตอมหรือที่เรียกว่าโมเลกุลมานานแล้วก็ตาม  แต่ยังไม่สามารถทำไปใช้หรือว่าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระดับโมเลกุลให้ได้คุณสมบัติและสสารตัวใหม่  เพียงแค่นำแร่ธาตุมาผสมกันหรือว่าย่อส่วนให้มีขนาดที่เล็กลงเท่านั้น  อย่างเช่นไมโครซิฟ  ซึ่งมีข้อจำกัดมาก  ส่งผลทำให้คิดค้นนำโมเลกุลมาจัดเรียงทำให้เกิดวัสดุใหม่ที่มีขนาดเล็กลงและมีคุณสมบัติใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม  เมื่อครั้งบริษัท  IBM  ได้นำกล้องจุลทรรศน์ที่สามารถมองเห็นการเคลื่อนที่ของอะตอม  และสามารถที่จะกำหมดการเคลื่อนที่ของโมเลกุลนั้นได้  เป็นแนวคิดต้นแบบในการนำโมเลกุลมาควบคุมและจัดเรียงใหม่  โดยใช้โมเลกุลสามารถจัดเรียงได้ตามต้องการและเที่ยงตรง

ความหมายของนาโนเทคโนโลยี


nano-184187_640


             นาโน คือ  อัตราส่วน 1 ในพันล้าน  หรือเท่ากับ  เมตร  เราจึงพูดกันทั่วไปว่านาโนเมตร  เป็นการเรียงตัวในระดับโมเลกุลมาจัดเรียง 10 ตัว  เพื่อให้สสารที่มีคุณสมบัติใหม่ที่ดีและสามารถทำให้มีขนาดเล็กมากเหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ  เช่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  ผ้านาโน  หุ่นยนต์นาโน  โดยการนำเอาโมเลกุลมาจัดเรียงทาเคมีและกลศาสตร์ผสมผสานกัน
ตัวอย่าง  นาโนเทคโนโลยี
นาโนเทคโนโลยีได้นำมาประยุกต์เพื่อไปใช้งานในด้านต่างๆ  ได้มากมายและยังมีการคิดค้นจนสามารถได้อุปกรณ์ที่เกิดจากนาโนเทคโนโลยีไว้มากมาย  มีส่วนช่วยให้ชีวิตประจำของมนุษย์สะดวกสบายขึ้น  ตัวอย่างเช่น
  • วัสดุนาโน เป็นการสร้างวัสดุขึ้นมาใหม่หรือว่าเปลี่ยนแปลงวัสดุเดิม  โดยการสร้างและควบคุมที่น้อยกว่า 100 นาโนเมตร  ทำให้มีวัสดุที่ดี  แข็งแรงทนทาน  มีขนาดเล็กลงมาก เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีรูปแบบต่างกัน  เช่น  ชิ้นส่วนรถยนต์  เครื่องบิน  ยานอวกาศ  วงจรอิเล็กทรอนิกส์  เซลามิก
  • ท่อนาโนคาร์บอน เป็นวัสดุตัวนำไฟฟ้าหรือกิ่งตัว  มีขนาดที่เล็ก  ที่สามารถนำไปประกอบกับอุปกรณ์ทรอนิกส์
  • หุ่นยนต์นาโน หุ่นยนต์สามารถที่จะทำงานและได้รับพลังงานจากโปรตีนที่ร่างกายคนเราใช้เพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ  ในระดับ RAN
ประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยี
         ประโยชน์ของนาโนนั้นสามารถที่จะนำไปใช้ในด้านต่างๆ  อย่างกว้างขวาง  ทำให้มนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ  และช่วยนำไปพัฒนาชีวิต  วิทยาศาสตร์  การแพทย์  การขนส่ง
  • คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลงและทำงานที่รวดเร็ว  ประหยัดพลังงาน  การใช้นาโนเทคโนโลยีมาผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ทำให้มีขนาดเล็กลง  ใช้พลังงานน้อยลง  ทำให้มีขนาดและราคาที่ลดลง
  • รักษาโรคและอาการต่างๆ มีการนำเอานาโนเทคโนโลยีมาสร้างหุ่นยนต์ขนาดเล็กมาก  โดยสามารถเข้าไปในร่างกายผ่านกระแสเลือด  หุ่นยนต์จะทำหน้าที่หาจุดบกพร่องในระดับเซลล์  จะเข้าไปตรวจสอบและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย
  • ยานยนต์และอวกาศ ในด้านวัสดุที่มีความเขาช่วยลดพลังงานในการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์  ลดแรงเสียดทาน  มีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น  ในรถยนต์ได้นำมาเป็นวัสดุของเครื่องยนต์ในการสันดาปภายในโดยใช้พลังงานน้อย  และมีความแข็งแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
  • ในด้านวิทยาศาสตร์ การนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้งานด้านอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้มีการค้นคว้าอะไรหลายอย่างได้มากขึ้นและช่วยให้งานวิจัยได้ดีและมีความแม่นยำ จึงทำให้วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าไป ทั้ง  เคมี  ชีววิทยา และอื่นๆ
  • สิ่งแวดล้อม ช่วยให้คิดค้น  อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานลดใช้ทรัพยากร  และมีการปรับปรุงในอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการกำจัดมลพิษ
  • วัสดุอุปกรณ์ ทำให้เกิดวัสดุอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้มากมาย  เพื่อให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น  มีขนาดเล็กลง  มีความแข็งแรงมากขึ้น และมีคุณสมบัติที่ที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน  อย่างเช่น ผ้านาโน เป็นผ้าที่ระบายอากาศได้และไม่มีกลิ่นอับไม่สะสมแบคทีเรีย  พลาสติกที่มีความแข็งแรงและขนาดเบา  เป็นต้น


ที่มา: http://www.krabork.com/2015/09/01/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/#more-2943


วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559


นักจินตคณิตศาสตร์ที่คิดเร็วกว่าแสง



 นักจินตคณิตศาสตร์ที่คิดเร็วกว่าแสง

Solomon Stone นักจินตคณิตชาวอเมริกันที่เก่งที่สุดในยุค 1890



   เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ.2009 Kim Peek ชายวัย 58 ปีผู้เป็นแรงดลใจให้ฮอลลีวูดสร้างภาพยนตร์เรื่อง Rain Man ที่มี Dustin Hoffman แสดงนำ ได้เสียชีวิตที่เมือง Salt Lake City ในสหรัฐอเมริกา ด้วยโรคสมองเสื่อมระดับรุนแรง ทั้งๆ ที่ในวัยหนุ่ม Peek สามารถอ่านหนังสือได้วันละ 8 เล่ม และจำข้อมูลในหนังสือได้หมดจนได้รับฉายาว่าเป็นผู้รอบรู้ใน 15 สาขาวิชา ได้แก่ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ดนตรี จินตคณิตศาสตร์ ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนสติปัญญาอ่อน เพราะไร้ความสามารถในการแต่งตัวและหวีผมให้ตนเอง การเป็นทั้งคนเก่งและคนโง่ดักดานในคนคนเดียวกันนี้เป็นอาการของอัจฉริยะปัญญาอ่อน (savant) ที่บุคคลในวงการการศึกษากำลังให้ความสนใจ

       
       ย้อนอดีตไปเมื่อ 34 ปีก่อน นาง Shakuntala Devi คือสตรีชาวอินเดียผู้สามารถหารากที่ 23 ของจำนวนที่มี 201 หลักได้อย่างถูกต้องโดยใช้เวลาคิดเพียง 50 วินาที ครั้นเมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องเคล็ดลับในการคิด เธอก็เฉไฉบอกว่า เวลาเธออยู่กับตัวเลขเธอรู้สึกเป็นสุข เพราะเลขคือ เพื่อนสนิทที่เธอไว้วางใจมากที่สุด เช่น 6 x 4 จะได้ 24 เสมอ ไม่ว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงเพียงใดหรืออย่างไร
       Shyam Marahe เป็นเด็กชาวอินเดียอีกผู้หนึ่งที่สามารถหารากที่ 23 ของจำนวนที่มี 41 หลัก คือ 24,242,900,770,553,981,941,874,678,268,486,966,725,193 ได้ว่ามีค่าเท่ากับ 57 ภายในเวลา 1 นาที Marahe ได้ยอมรับเช่นกันว่าเขามีความรู้สึกผูกพันกับตัวเลขมาก จนจำนวนทุกจำนวนเปรียบเสมือนเพื่อนแต่ละคน เช่น 3,844 ซึ่งในสายตาคนทั่วไปคือเลข 3, 8, 4 และ 4 เขียนเรียงกัน แต่ในสายตาของ Marahe เพื่อนคนนี้มีความพิเศษ คือมีค่าเท่ากับ 622

       ส่วนในกรณีของ Zerah Colburn ผู้ถือกำเนิดเมื่อ ค.ศ.1804 ที่เมือง Cabot รัฐ Vermont ในสหรัฐอเมริกานั้น เขามีบิดาชื่อ Abia ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้ เมื่อ Colburn อายุ 5 ขวบ บิดาได้ส่งไปเรียนหนังสือในโรงเรียน ถึงเวลาจะผ่านไปร่วม 6 อาทิตย์ Colburn ก็ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย แต่กลับท่องสูตรคูณให้บิดาฟังมากมายเช่น 5 x 7 = 35 และ 6 x 8 = 48 เป็นต้น บิดาซึ่งกำลังงงมากจึงถามว่า 13 x 97 เท่ากับเท่าไร Colburn ก็ตอบสวนทันทีว่า 1,261
       
       ทันทีที่รู้ว่าลูกชายมีพรสวรรค์ด้านจินตคณิตศาสตร์ Abia ก็คิดใช้ความสามารถของลูกหาเงินทันควัน ทั้งนี้ เพราะครอบครัวยากจนและมีลูกถึง 6 คน ในเบื้องต้นเพื่อเป็นความมั่นใจ บิดาได้นำ Colburn ไปหาอธิบการบดีของ Dartmouth College ที่ Hanover ในรัฐ New Hampshire เพื่อสาธิตความสามารถในการคำนวณให้ดู และ Colburn ก็ได้ทำให้อธิการบดีประทับใจมากจนถึงกับเสนอให้ Colburn เข้าเรียนที่วิทยาลัยโดยไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียน แต่ Abia ผู้ต้องการเงินยิ่งกว่าการศึกษาของลูกได้ปฏิเสธคำเชิญ แล้วนำลูกชายออกแสดงความสามารถด้านจินตคณิตศาสตร์ในเมืองต่างๆ เช่นที่ Boston และ Colburn ก็สามารถตอบได้ในทันทีว่า 1,449= 2,099,601 และเวลา 2,000 ปี = 63,072,000,000 วินาที ฯลฯ ความสามารถที่มากล้นนี้ทำให้ชาวบอสตันผู้หวังดีพากันรวบรวมเงิน 5,000 เหรียญมามอบให้ Abia เพื่อเป็นทุนการศึกษาของ Colburn แต่บิดาผู้ไม่ยินยอมให้ลูกเรียนหนังสือได้พา Colburn ออกแสดงความสามารถต่อในยุโรป
       
       ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1812 Colburn วัย 8 ขวบ ได้เปิดการแสดงความสามารถในการคำนวณในใจที่ลอนดอน โดยสามารถตอบได้ว่า 888,888= 790,121,876,544 ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที เมื่อมีคนถาม Colburn ว่า 4,294,967,297 เป็นจำนวนเฉพาะหรือไม่ (จำนวนเฉพาะคือจำนวนที่มี 1 กับตัวมันเองเท่านั้นที่หารมันได้ลงตัว) Colburn ตอบว่าไม่ เพราะเลขจำนวนดังกล่าวเท่ากับ 641 x 6,700,417 (เลขจำนวนนี้ในอดีต Pierre de Fermat นักคณิตศาสตร์ผู้ลือนามของฝรั่งเศสเคยคิดว่าเป็นจำนวนเฉพาะ)
       
       จากลอนดอน Abia ได้นำลูกชายไปแสดงความสามารถที่ปารีส ข่าวความเก่งจินตคณิตศาสตร์ของ Colburn ทำให้ชาวปารีสแตกตื่น แม้กระทั่งจักรพรรดิ Napoleon ก็ทรงสนพระทัยและตั้งพระทัยจะมาดู แต่ไม่ทันได้ดูเพราะ Napoleon ทรงแพ้สงครามที่วอเตอร์ลูเสียก่อน Colburn กับบิดาจึงเดินทางกลับอังกฤษสู่บรรยากาศที่ใครๆ ก็อยากรู้ว่า Colburn มีวิธีคิดเลขอย่างไร เช่น Sir Humphry Davy นักเคมีที่มีชื่อเสียงได้เคยขอให้ Abia เปิดเผยเคล็ดลับของเรื่องนี้ แต่ Abia ปฏิเสธ
       
       ในปี 1817 Colburn ได้ทดลองประลองปัญญาด้านจินตคณิตศาสตร์กับ William Hamilton นักคณิตศาสตร์ชาวไอริชผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ในเวลาต่อมา Hamilton ได้ยอมรับว่าการแข่งขันเชิงวิชาการกับ Colburn ในครั้งนั้นได้ทำให้วิถีชีวิตของเขาหักเหสู่ความยิ่งใหญ่ จากเดิมที่ Hamilton คิดจะเป็นนักภาษาศาสตร์ แต่เมื่อรู้วิธีคำนวณเลขยกกำลัง 2 และวิธีหารากที่ 3 ของจำนวนเต็มจาก Colburn เขาก็หันมาสนใจคณิตศาสตร์แทน และได้ค้นคว้าต่อจนพบสมการ Hamilton ที่ใช้ในวิชากลศาสตร์และคอมพิวเตอร์กราฟฟิก
       
       ลุถึงปี 1819 คนอังกฤษเริ่มรู้สึกเบื่อและเหนื่อยหน่ายในตัว Colburn มาก เพราะเวลาใครถามเคล็ดลับในการคิดเลข Colburn ก็เอาแต่ร้องไห้ และมีอาการชักกระตุกจนทุกคนกลัวเขาจะเสียชีวิตขณะพยายามเปิดเผยความลับสุดยอดของตัวเอง แม้ต่อหน้า John Quincy Adams ผู้กำลังจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา และ Samuel Morse ผู้เป็นนักประดิษฐ์โทรเลขก็ตาม จนในที่สุดผู้คนก็เลิกสนใจ Colburn เมื่อคนอังกฤษเริ่มระอา Abia ได้นำลูกชายกลับไปหากินที่ปารีสอีก ขณะอยู่ที่นั่น Washington Irving นักประพันธ์ผู้ปรารถนาดีต่อ Colburn ได้พยายามจัดให้ Colburn เข้าเรียนที่ Lyceum Napoleon แต่ไม่สำเร็จเพราะบิดาของ Colburn ไม่ยินยอมอีก
       
       เมื่ออายุได้ 15 ปี ความนิยมชื่นชมในตัว Colburn ของฝูงชนได้จางหายไปจนเกือบหมด ทำให้ Colburn มีรายได้ไม่เพียงพอ จึงต้องหางานอื่นทำ โดยการเขียนบทละครและเล่นละครที่ Ireland แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ครั้นเมื่อรู้ว่าบิดาใกล้จะตาย Colburn จึงเดินทางกลับบ้านเกิด และพบว่าแม้แต่แม่ก็จำเขาไม่ได้ ส่วนพี่น้องนั้นไม่ต้อนรับเลย ซ้ำยังกล่าวหาว่า Colburn ได้ทำให้ครอบครัวแตกแยกด้วยการนำพ่อออกทัวร์หาเงิน เมื่อพ่อเสียชีวิต Colburn จึงหลบลี้หนีสังคมโดยการเก็บตัว และได้ทำงานเป็นครูสอนภาษาที่ Norwich University ใน Vermont และเริ่มมีครอบครัว
       
       ในปี 1833 Colburn วัย 29 ปี พร้อมลูก 3 คน ได้คิดหาเงินจากการเขียนหนังสือแสดงวิธีคิดคณิตศาสตร์ในจินตนาการ แต่หนังสือไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผู้อ่านมีความเห็นว่าวิธีคิดของ Colburn ไม่มีหลักการที่รัดกุม เมื่อมีการขอให้เพิ่มเติมคำอธิบายให้สมบูรณ์ Colburn ก็บอกว่า พระเจ้าได้ประทานวิธีคิดโดยการกระซิบบอกในสมองของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถถ่ายทอดวิธีคิดเหล่านั้นลงในสมองของคนอื่นได้
       
       Colburn เสียชีวิตในปี 1839 สิริอายุ 35 ปี
       
       ส่วน Jedediah Buxton นักจินตคณิตศาสตร์ผู้โด่งดังในสมัยเมื่อ 250 ปีก่อน ก็เคยแสดงความสามารถที่สมาคม Royal Society ในปี 1754 และได้รับคำชื่นชมจากบรรดาสมาชิกของสมาคมมาก และเมื่อ Buxton ได้ไปดูละครเรื่อง Richard III ที่โรงละคร Drury Lane ในลอนดอน เมื่อละครเลิก ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ถาม Buxton ว่าชอบหรือไม่ชอบละครอย่างไร Buxton ตอบว่า ผมดูไม่รู้เรื่องเลย รู้เพียงแต่ว่า David Garrick ผู้แสดงนำฝ่ายชายพูดทั้งหมด 14,445 คำ และเดินไปเดินมา 5,202 ก้าว นี่เป็นการสังเกตระดับละเอียดที่คนธรรมดาไม่เคยคิดจะสนใจ
       สำหรับ Thomas Fuller ผู้เป็นทาสผิวดำที่เกิดในปี 1710 และเป็นอัจฉริยะปัญญาอ่อนนั้นก็สนใจประเด็น “ผิดธรรมชาติ” เช่นกัน เช่น ชอบนับเมล็ดข้าวสาลีในกระสอบ และชอบนับขนหางวัวจนรู้ว่ามี 2,872 เส้น อีกทั้งรู้ว่า เวลา 1 ปีกับ 6 เดือน = 47,304,000 วินาที แต่สมองของเขาไม่รับรู้ข้อมูลอื่นใดนอกจากเรื่องเลข
       
       ปัจจุบัน การศึกษาวิธีคิดของอัจฉริยะปัญญาอ่อนเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักการศึกษากำลังสนใจ เช่น คนเหล่านี้คิดได้อย่างไร หรืออะไรคือปัจจัยที่ทำให้สมองคนเป็นเช่นนั้น ในหนังสือ The Great Mental Calculators: The Psychology, Methods and Lives of Calculating Prodigies, Past and Present ที่เรียบเรียงโดย Steven B. Smith และจัดพิมพ์โดย Columbia University Press ในปี 1983 Smith ได้แสดงให้เห็นว่าวิธีคิดของอัจฉริยะปัญญาอ่อนมี 2 รูปแบบ คือแบบที่เห็นตัวเลขในจินตนาการ กับแบบที่ได้ยินตัวเลขเป็นเสียง และบุคคลพิเศษประเภทนี้มักเป็นผู้ชายที่ถนัดการคูณยิ่งกว่าคนธรรมดาหลายพันเท่า อีกทั้งชอบหารากที่ 3 มากกว่ารากที่ 2 เพราะวิธีการหารากที่ 3 นั้นง่ายกว่าการหารากที่ 2
       
       นอกจากนี้ Smith ยังระบุอีกว่า ในวัยเด็กบุคคลพิเศษเหล่านี้มักไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่นๆ เพราะอาจเจ็บป่วยบ่อยจนทำให้ถูกตัดขาดจากสังคม เมื่อไม่มีเพื่อนจึงหันไปยึดตัวเลขมาเป็นเพื่อนในจินตนาการแทน ดังเช่น Jacques Inaudi, Henri Mondeaux, Vito Mangianele และ Luigi Pieroni โดยบุคคลทั้งสี่นี้เคยใช้ชีวิตวัยเด็กเป็นคนเลี้ยงแกะมาก่อน Smith จึงคิดว่าการใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวทำให้ต้องหันไปใช้เวลาหาวิธีนับแกะอย่างรวดเร็ว และนำวิธีที่พบนั้นมาใช้ในจินตคณิตศาสตร์
       
       Smith ยังพบอีกว่า สำหรับ Zerah Colburn นั้นร่างกายยังมีความผิดปรกติด้วย เช่น Colburn มีนิ้วมือและนิ้วเท้า 12 นิ้ว ซึ่งบิดาได้นำไปผ่าตัดจนเหลือ 10 นิ้วเพื่อให้ดูเป็นคนปรกติ
       
       ในวารสาร Philosophical Transactions of the Royal Society ฉบับที่ 346 ปี 2010 Patricia Howlin แห่ง King’s College ของมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้พบว่าการที่คนพิเศษเหล่านี้มีความสามารถผิดปรกติ เช่น Daniel Tammet สามารถจำค่าของ p ได้ถูกต้องถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 22,514 และคนขับรถแท็กซี่ที่สามารถจำชื่อถนนทั้ง 25,000 สายในลอนดอนได้อย่างไม่ผิดพลาดเลย เพราะคนเหล่านี้มักเป็นโรคลมชัก (epilepsy) และออทิสติก (autistic) รวมถึงมีอาการ Asperger ที่มีปัญหาในการคบเพื่อน เพราะไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆ และมีความสนใจที่แคบมาก รวมทั้งมีความสามารถในการทำงานที่ใช้อุปกรณ์ต่างๆ น้อยเพราะปรับตัวไม่ค่อยจะได้ และ Howlin ก็ได้พบว่า 10% ของคนที่เป็นออทิสติกมักเป็นอัจฉริยะปัญญาอ่อนด้วย และได้ศึกษาจนพบว่า คนพิเศษเหล่านี้สามารถทำงานพิเศษได้เพราะมีแรงจูงใจสูงมากจนถึงกับรู้สึกว่า ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็จะตายเอา
       
       ส่วนประเด็นที่นักจิตวิทยากำลังสนใจก็มีว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ความสามารถด้านเด่นและด้อยมีอยู่ด้วยกันในบุคคลคนเดียวกัน
       
       ในวารสาร Journal of Child Psychology and Psychiatry ประจำเดือนตุลาคม ปี 2009 Francesca Happé ได้สังเกตพบว่า คนที่มีอาการ Asperger มักสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อยที่คนทั่วไปมักมองข้ามไป และเมื่อตาของคนพิเศษนี้เห็น ในขั้นต่อไปสมองของเขาก็จะโฟกัสที่ประเด็นนั้นอย่างแน่วแน่จนจำได้แม่น ซึ่งก็ตรงกับการวิเคราะห์ของ Simon Baron-Cohen แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ในอังกฤษที่พบว่า คนที่เป็นออทิสติกมักมีความรู้สึกอ่อนไหวระดับไฮเปอร์กับข้อมูลต่างๆ มากจนถึงกับหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องนั้นตลอดเวลา และในที่สุดก็พัฒนาไปสู่ความเป็นอัจฉริยะปัญญาอ่อน
       
       การศึกษาสมองของคนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสมองส่วน cortex ที่ทำหน้าที่สังเกตและคำนวณมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ แต่นักวิจัยทั้งสองก็ไม่มั่นใจว่าขนาดของสมองส่วนนี้มีมาตั้งแต่เกิดหรือเกิดจากการฝึกฝน แต่ในขณะเดียวกันสมองส่วน hippocampus ที่ใช้ในการจำก็มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติด้วย แต่ถ้าสมองส่วนนี้ไม่ได้ใช้ ขนาดก็จะฝ่อลงๆ ดังนั้น คนทั้งสองจึงสรุปในภาพรวม สมองของอัจฉริยะปัญญาอ่อนมิได้แตกต่างจากสมองคนธรรมดา แต่เมื่อได้ฝึกฝนมาก รูปร่างและขนาดของสมองก็เปลี่ยน คือ ใหญ่ขึ้นครับ


ที่มา:  http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000002037